รู้จักข้อมูลภูมิศาสตร์ Geospatial Data ข้อมูลที่ช่วยให้เห็นโอกาสบนแผนที่ธุรกิจ

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้ทันเพื่ออยู่รอดในสมรภูมิการแข่งขัน การวางแผนและการตัดสินใจทางธุรกิจจึงมีความซับซ้อนและท้าทายยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา “Geospatial Data หรือข้อมูลภูมิศาสตร์” จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจและผู้พัฒนาเมืองสามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำยิ่งขึ้น มารู้จัก Geospatial Data กันว่าคืออะไร มีความสามารถอย่างไร และจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจและเมืองในยุคดิจิทัลได้อย่างไร
Geospatial Data คืออะไร
Geospatial Data หรือข้อมูลเชิงพื้นที่หรือข้อมูลภูมิศาสตร์ คือข้อมูลที่บ่งบอกถึงตำแหน่งและพิกัดบนพื้นผิวโลก ซึ่งครอบคลุมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรือลักษณะต่าง ๆ ในเชิงภูมิศาสตร์ โดยสามารถแสดงได้ทั้งตำแหน่งคงที่และตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา ซึ่งข้อมูล Geospatial Data นี้สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นเพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้ด้วย
สำหรับการจัดเก็บข้อมูล Geospatial Data มักนิยมใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่เชื่อมโยงข้อมูลตำแหน่งเข้ากับข้อมูลอื่น ๆ เช่น ประชากร การใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือโครงสร้างพื้นฐาน
- ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS) ซึ่งใช้สัญญาณดาวเทียมระบุตำแหน่งบนโลกได้แบบเรียลไทม์
- โดรน (Drone) ที่ช่วยเก็บภาพถ่ายและวิดีโอทางอากาศ เพื่อนำมาวิเคราะห์ด้านภูมิศาสตร์ วัดระยะทาง ความสูง หรือระบุความเสี่ยงในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ
ประเภทของ Geospatial Data มีอะไรบ้าง
ข้อมูล Geospatial Data เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจและจัดการพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบและแม่นยำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- ข้อมูลเวกเตอร์ (Vector Data)
ข้อมูลประเภทนี้มีลักษณะเป็นจุด เส้น และรูปหลายเหลี่ยม ใช้แทนสิ่งต่าง ๆ เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ถนน แม่น้ำ และแหล่งน้ำ
- ข้อมูลแรสเตอร์ (Raster Data)
ข้อมูลประเภทนี้เป็นเซลล์แบบพิกเซลหรือกริด (grid) มักได้จากภาพถ่ายดาวเทียมหรือภาพถ่ายทางอากาศ เหมาะสำหรับการแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความซับซ้อน เช่น สภาพภูมิประเทศ ความสูงของพื้นที่ หรือความหนาแน่นของป่าไม้
ความสามารถของ Geospatial Data
Geospatial Data หรือข้อมูลภูมิศาสตร์ เป็นข้อมูลที่สามารถบอกพิกัดและช่วงเวลาได้ ทั้งในรูปของวัตถุ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรือแม้แต่ลักษณะทางกายภาพ ทำให้ข้อมูลนี้ถูกใช้ในการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีความสามารถหลักที่โดดเด่น 4 ประการ ดังนี้
1. การคาดการณ์ (Predictive Analysis)
Geospatial Data เก็บข้อมูลตำแหน่งในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์แนวโน้มและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น คาดการณ์สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ หรือการจราจรติดขัด ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมและวางแผนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
2. ข้อมูลแม่นยำ (Data Accuracy)
ด้วยเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการเก็บรวบรวม ทำให้ Geospatial Data มีความแม่นยำสูง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น การนำทาง การบริหารจัดการทรัพย์สิน และการประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทั้งยังนำไปต่อยอดสร้างเป็นแผนที่ดิจิทัลหรือโมเดล 3 มิติได้สะดวก
3. การติดตามสถานการณ์ (Monitoring and Tracking)
Geospatial Data สามารถติดตามตำแหน่งของวัตถุ เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ได้แบบเรียลไทม์ จึงถูกนำไปใช้ในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และวางแผนจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เหมาะสำหรับการตัดสินใจในภาวะฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
4. ลดค่าใช้จ่ายในการสำรวจ (Cost Efficiency)
การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสำรวจและเก็บข้อมูลแบบอัตโนมัติ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องใช้ในกระบวนการสำรวจและจัดทำแผนที่ ลดจำนวนบุคลากรที่ต้องทำงานภาคสนาม รวมถึงลดขั้นตอนการบันทึกและจัดการข้อมูล
ตัวอย่างประโยชน์ของการใช้ Geospatial Data
Geospatial Data เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจเชิงพื้นที่มีความชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หน่วยงานทั้งภาครัฐอละเอกชน จึงนำมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น
1. การวางแผนและวิเคราะห์แนวโน้มทางการตลาด
Geospatial Data มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการวางแผนและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนแนวโน้มทางการตลาดได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ธุรกิจระบุได้ว่าสินค้าหรือบริการใดเหมาะสมกับพื้นที่หรือกลุ่มลูกค้าใด ค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และประเมินความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ เช่น วิเคราะห์ทำเลที่ตั้งของร้านค้า ศึกษาศักยภาพการขยายตลาด ช่วยประเมินคะแนนความเสี่ยงด้านสินเชื่อ รวมถึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการได้ตรงตามความต้องการของตลาดในแต่ละพื้นที่
นอกจากภาคเอกชนแล้ว ภาครัฐเองก็สามารถนำ Geospatial Data ไปใช้ประโยชน์ในด้านการบริหารจัดการเมืองได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มการแพร่ระบาดของโรค การประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การทำแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงให้คำแนะนำประชาชนได้อย่างแม่นยำและทันเวลา
ตัวอย่างเช่น
เบดร็อค อนาไลติกส์ ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พัฒนา Big Data Platform ข้อมูลกิจกรรมทางกาย “City Health Check TH” โดยนำข้อมูลภูมิศาสตร์ ข้อมูลเมือง และข้อมูลกิจกรรมทางกายของคนไทย มาสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมทางกาย เพื่อยกระดับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์และนโยบายด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์บริบทของแต่ละพื้นที่
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากร
Geospatial Data ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรในทุกมิติ ตั้งแต่การวางแผนการผลิต การจัดการทรัพย์สิน การบริหารทรัพยากรบุคคล ไปจนถึงการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนหรือผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเพิ่มผลผลิตโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง หรือการประเมินระดับน้ำ ความชื้นในดิน และสภาพภูมิอากาศ เพื่อวางแผนการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับช่วงเวลาและพื้นที่ ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง
ไม่เพียงเท่านั้นยังนำมาใช้ในการจัดการทรัพย์สินหรือโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการระบุและติดตามสถานะของวัตถุ สิ่งปลูกสร้าง ถนน ระบบสาธารณูปโภค หรือแหล่งน้ำได้อย่างเป็นระบบ เพื่อบำรุงรักษา ซ่อมแซม หรือพัฒนาได้อย่างแม่นยำและตรงตามความต้องการของประชาชน
ตัวอย่างเช่น
ท่าอากาศยานดอนเมืองหรือสนามบินดอนเมือง ได้นำระบบ Trolley Management Platform จากเบดร็อค อนาไลติกส์ ที่นำ Geospatial Data มาใช้ในการบริหารจัดการรถเข็นสัมภาระอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้งการตรวจสอบจำนวนรถเข็นในแต่ละจุด ติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ แจ้งเตือนเมื่อรถเข็นถูกนำออกนอกพื้นที่หรือใช้งานผิดวัตถุประสงค์ พร้อมมอนิเตอร์สถานการณ์แบบครบวงจร เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกโซนภายในสนามบินจะมีรถเข็นพร้อมให้บริการตลอดเวลา
3. การติดตามสถานการณ์และทำแผนที่ภัยพิบัติ
การบูรณาการ Geospatial Data เข้ากับข้อมูลด้านสังคม เศรษฐกิจ และข้อมูลภัยพิบัติ เช่น ข้อมูลครัวเรือน จำนวนประชากร รวมถึงประวัติภัยพิบัติที่ผ่านมา ช่วยให้สามารถสร้างแผนที่ดิจิทัลที่มีความแม่นยำและเป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ในการติดตามสถานการณ์ การวางแผน รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มและผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที เช่น การพยากรณ์อากาศ การคาดการณ์ทิศทางและระดับน้ำท่วม พยากรณ์เส้นทางของพายุที่กำลังเคลื่อนผ่านพื้นที่ การระบุพื้นที่เสี่ยงภัยและประชากรที่อาศัยอยู่ในจุดเสี่ยงเหล่านี้ ช่วยให้วางแผนรับมือภัยพิบัติได้อย่างเป็นระบบ แจ้งเตือนประชาชนได้แม่นยำ และลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น
เทศบาลนครยะลา จ.ยะลา ร่วมกับเบดร็อค อนาไลติกส์ พัฒนาระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ เพื่อบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ โดยติดตั้งโทรมาตรและเซนเซอร์วัดน้ำฝน ความเร็วการไหลของน้ำ แล้วเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง ที่เป็นการนำข้อมูลเชิงพื้นที่มาผสานกับข้อมูลเมืองในมิติต่าง ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมตามเวลาจริง แจ้งเตือนประชาชน คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง และวางแผนอพยพได้อย่างแม่นยำ
4. ติดตามและบริหารจัดการลูกค้า
Geospatial Data สามารถระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ ความต้องการ และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบกิจกรรมทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดทำแคมเปญส่งเสริมการขายหรือกิจกรรมทางการตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ การวางแผนเส้นทางการจัดส่งสินค้าให้เหมาะสม เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็ว ตลอดจนการวางแผนให้บริการหลังการขายให้ครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง
การเข้าใจและนำ Geospatial Data หรือข้อมูลภูมิศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และตอบโจทย์ความต้องการมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากต้องการเติบโตและอยู่รอดอย่างมั่นคงในโลกที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว