ไม่ต้องไปดูงานไกล! รวมตัวอย่างเปลี่ยนเมืองให้ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี Smart Environment จากท้องถิ่นทั่วไทยที่นำไปใช้จริง

เมื่อพูดถึงสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) หลายคนอาจนึกถึงเรื่องความสะอาดหรือคุณภาพอากาศ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะคือการจัดการสิ่งแวดล้อมของเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ปลอดภัย พร้อมรับมือกับภัยพิบัติได้ทันท่วงที องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันเรื่องนี้ได้ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบจัดการน้ำ ติดตามสภาพอากาศ การจัดการขยะ และเฝ้าระวังภัยพิบัติ
เบดร็อค อนาไลติกส์ ได้รวบรวมตัวอย่างโครงการและเทคโนโลยีที่ท้องถิ่นไทยนำมาใช้จากคู่มือพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อให้ท้องถิ่นเห็นแนวทางยกระดับ Smart Environment และพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
1. เสาไฟถนนอัจฉริยะ (Smart Pole)
Smart Pole คือเสาไฟที่จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัย ลดอาชญากรรม และยกระดับ Smart Environment ให้ดูแลเมืองได้แบบครบวงจร โดยมักเป็นเสาไฟอัจฉริยะ ที่มีทั้งไฟ LED ประหยัดพลังงาน เซนเซอร์วัดอุณหภูมิและคุณภาพอากาศ กล้อง CCTV ป้ายดิจิทัล Wi-Fi รวมถึงปุ่มฉุกเฉิน
ตัวอย่าง: ชุมชนบ้านฉาง จ.ระยอง ได้ติดตั้ง Smart Pole พร้อมให้บริการ Wi-Fi ฟรี ตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ไปจนถึงปุ่มขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน และระบบสังเกตการณ์ผ่านกล้องวงจรปิดที่เชื่อมกับระบบการวิเคราะห์ตรวจจับใบหน้า เพื่อใช้ติดตามอาชญากรหรือบุคคลสูญหาย เป็นต้น
2. แพลตฟอร์มกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
แพลตฟอร์มกล้องโทรทัศน์วงจรปิดเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีช่วยพัฒนาด้าน Smart Environment ที่เชื่อมภาพจากกล้องทุกตัวเข้าศูนย์กลางแบบเรียลไทม์ ช่วยติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งอุบัติเหตุ อาชญากรรม และภัยพิบัติ นำไปสู่การป้องกันและลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง: วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ใช้กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ และแพลตฟอร์มแสดงผลภาพแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถตรวจจับใบหน้า ตรวจจับทะเบียนรถ วางแผนจราจร คำนวณคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงแจ้งเตือนควันไฟ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดผลกระทบ และแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที
3. แพลตฟอร์มบริหารจัดการและเฝ้าระวังภัยพิบัติอัจฉริยะสำหรับท้องถิ่น
Smart Environment ไม่ได้หมายถึงสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้แพลตฟอร์มบริหารจัดการและเฝ้าระวังภัยพิบัติอัจฉริยะสำหรับท้องถิ่น ที่นำเทคโนโลยีมาจัดเก็บ วิเคราะห์ แจ้งเตือน คาดการณ์ความเสี่ยง และประเมินผลกระทบ เพื่อช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:
- เทศบาลตำบลลำพญา จ.นครปฐม ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง ช่วยคาดการณ์พื้นที่น้ำท่วมและแจ้งเตือนประชาชนได้ทันเวลา พร้อมแสดงข้อมูลตามเวลาจริง เพื่อช่วยเหลือแต่ละครัวเรือนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
- เทศบาลนครยะลา จ.ยะลา พัฒนาระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ เพื่อบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ โดยติดตั้งโทรมาตรและเซนเซอร์วัดน้ำฝน ความเร็วการไหลของน้ำ แล้วเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง วิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมตามเวลาจริง แจ้งเตือนประชาชน คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง และวางแผนอพยพได้อย่างแม่นยำ
4. ศูนย์สั่งการและควบคุม (Command Center) หรือ War room
ศูนย์สั่งการและควบคุม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะของเมือง ที่ช่วยในการติดตามและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นระบบ โดยศูนย์นี้จะรวบรวมข้อมูลการปฏิบัติงานของเมือง พร้อมติดตั้งระบบสารสนเทศทันสมัย เพื่อดูสถานการณ์แบบเรียลไทม์และย้อนหลัง ควบคุมอุปกรณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง: วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ที่ภายในมีศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (IOC) ที่คอยควบคุม ตรวจสอบ และบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภค ระบบความปลอดภัย และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของเมือง พร้อม Video Wall สำหรับติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ในเมืองแบบเรียลไทม์
5. แพลตฟอร์มติดตามและตรวจวัดคุณภาพอากาศ
การดูแลคุณภาพอากาศคือส่วนหนึ่งของการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาทัศนียภาพของเมือง โดยแพลตฟอร์มติดตามและตรวจวัดคุณภาพอากาศ จะเป็นการใช้เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ แล้วส่งข้อมูลเรียลไทม์ไปยังศูนย์กลางและแสดงผลทางแดชบอร์ด มีระบบแจ้งเตือนเมื่อพบค่ามลพิษเกินมาตรฐาน จึงช่วยเฝ้าระวังและตัดสินใจได้ทันท่วงที
ตัวอย่าง: เทศบาลเมืองแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ติดตั้ง Maejo Weather Station ที่เสาอัจฉริยะในเขตเทศบาล เพื่อตรวจวัดคุณภาพอากาศ พยากรณ์อากาศ ประเมินมลพิษ นำไปสู่การเตรียมรับมือภัยพิบัติและแจ้งประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ
6. ระบบบริหารจัดการน้ำประปา
การจัดการน้ำประปาให้เกิดประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนา Smart Environment โดยระบบบริหารจัดการน้ำประปา จะมีการติดตั้ง Smart Meter และเซนเซอร์ IoT ตรวจสอบการใช้น้ำ การรั่วไหล และคุณภาพน้ำ ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปสู่ศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ เพื่อแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ตรงจุด และให้บริการประชาชนอย่างสะดวก เช่น ชำระค่าน้ำผ่าน QR Code
ตัวอย่าง: เทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพน้ำและมาตรวัดน้ำอัจฉริยะที่โรงผลิตน้ำและตามบ้านเรือน เพื่อตรวจสอบปริมาณการผลิต การใช้ และการรั่วไหลของน้ำ ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำ ลดการสูญเสียน้ำ พร้อมจัดทำรายงานคุณภาพน้ำ และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนจ่ายค่าน้ำได้ง่ายขึ้น
7. แพลตฟอร์มการบริหารจัดการขยะ
การจัดการขยะมูลฝอยด้วยการใช้แพลตฟอร์มบริหารจัดการขยะที่มีการติดตั้ง Smart Bin ตรวจสอบปริมาณขยะ, GPS Tracking ติดตามรถขยะ และระบบชำระค่าธรรมเนียมออนไลน์ จะทำให้ได้ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งเข้าศูนย์กลางเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงงานได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่าง: วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ติดตั้ง Smart Bin จำนวน 70 จุด และระบบ GPS ติดตามรถขยะ ช่วยตรวจสอบปริมาณขยะและเส้นทางจัดเก็บแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะ ลดอุบัติเหตุ และจัดการสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันหลายท้องถิ่นเริ่มติดตั้งระบบติดตามตำแหน่งของรถขนขยะ เช่น เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลนครยะลา เทศบาลนครเกาะสมุย เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลตำบลอาจสามารถ
โครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) จากท้องถิ่นทั่วไทย สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้เน้นแค่ความสะอาดหรือคุณภาพอากาศ แต่ยังรวมถึงการจัดการระบบนิเวศเมืองอย่างชาญฉลาด ด้วยเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต ความปลอดภัย และเตรียมรับมือภัยพิบัติได้ทันที หากสนใจดูตัวอย่างเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาท้องถิ่นอัจฉริยะเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดฟรี “คู่มือพัฒนาท้องถิ่นอัจฉริยะ” จากเบดร็อค อนาไลติกส์ เป็นแนวทางขับเคลื่อนเมืองสู่ความอัจฉริยะอย่างรอบด้าน