สารพันเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดการให้อยู่หมัดได้ด้วยดิจิทัล

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเบี้ยผู้สูงอายุ อีกสวัสดิการทางสังคมหนึ่งที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องจัดทำระบบการจัดสรรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับสังคมผู้สูงอายุ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ ระบุว่า สิ้นปี 2565 ประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปี มีจำนวน 12,698,362 คน หรือคิดเป็น 19.21% ของประชากรทั้งหมด สอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ประมาณประชากรในปี 2583 พบว่าจะมีผู้สูงอายุวัยปลาย (80 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นถึง 5.63% นำไปสู่ปรากฏการณ์ที่ผู้สูงอายุเริ่มมีอายุยืนยาวขึ้นและเสียชีวิตลดลง
สถานการณ์ที่กล่าวมาทำให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะต้องดูแลด้านสวัสดิการทางสังคม อย่างเบี้ยผู้สูงอายุให้กับประชาชนในพื้นที่ แต่อุปสรรคที่พบบ่อยก็คือ ปัญหาเรื่องข้อมูลประชากรที่จัดเก็บในหลากหลายรูปแบบ ขาดการอัปเดต รวมถึงประชาชนไม่มาลงทะเบียน จนบางครั้งเกิดปัญหาจ่ายไม่ครบหรือเรียกคืนเบี้ยกันที่เห็นกันตามข่าว เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง Bedrock มีมาแนะนำกันครับ
1. เบี้ยผู้สูงอายุ คืออะไร
ก่อนจะไปถึงวิธีบริหารจัดการและแก้ปัญหาเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่าเบี้ยผู้สูงอายุคืออะไร โดยเบี้ยผู้สูงอายุ หรือ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นสวัสดิการที่ภาครัฐสนับสนุนเงินช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งจะจัดสรรเงินช่วยเหลือในรูปแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ
2. ใครบ้างมีสิทธิ์ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ
ปัจจุบันการจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุจะยึดหลักเกณฑ์ตามระเบียบคณะกรรมการผู้สูงอายุ (กผส.) และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่เพิ่มเติม พ.ศ. 2561 โดยผู้ที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุหรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีสัญชาติไทย
- มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งได้ยืนยันสิทธิ์ขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เงินบำนาญ เบี้ยหวัด รวมถึงเงินอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับเงินเบี้ยยังชีพอยู่แล้ว
ล่าสุด เมื่อ 11 สิงหาคม 2566 กระทรวงมหาดไทยมีการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 เพิ่มเติม โดยระบุถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินเบี้ยยังชีพเพิ่มเติมไว้ใน ข้อ 6(4) ระบุว่า "เป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด” ดังนั้นจึงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดให้ดีกว่าเกณฑ์คัดเลือกผู้ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในข้อนี้ จะบังคับใช้จริงเมื่อไรนะครับ
3. ผู้สูงอายุจะได้เบี้ยยังชีพเท่าไร
สำหรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์นั้น ปัจจุบันมีการจ่ายเงินให้ทุกเดือน ในรูปแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ โดยจะคำนวณอายุของผู้สูงอายุตามปีงบประมาณ และไม่มีการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุระหว่างปีงบประมาณ ดังนี้
- อายุ 60 – 69 ปี จะได้รับเบี้ยยังชีพ อัตรา 600 บาท/คน/เดือน
- อายุ 70 – 79 ปี จะได้รับเบี้ยยังชีพ อัตรา 700 บาท/คน/เดือน
- อายุ 80 – 89 ปี จะได้รับเบี้ยยังชีพ อัตรา 800 บาท/คน/เดือน
- อายุ 90 ปี ขึ้นไป จะได้รับเบี้ยยังชีพ อัตรา 1,000 บาท/คน/เดือน
4. เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้าวันไหน
ในส่วนของการขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุนั้น ผู้สูงอายุสามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปดำเนินการแทนได้ โดยภาครัฐจะโอนเงินผ่านธนาคารที่ผู้สูงอายุแจ้งมาให้ทุกวันที่ 10 ของทุกเดือน แต่หากตรงกับวันวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะได้รับก่อนวันที่ 10 ของเดือนนั้น ๆ
5. ขั้นตอนการลงทะเบียนรับสิทธิ์เบี้ยผู้สูงอายุกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุสามารถไปลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นภูมิลำเนาของผู้สูงอายุ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึง ขั้นตอนการลงทะเบียนรับสิทธิ์เบี้ยผู้สูงอายุกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะประกาศและประชาสัมพันธ์แจ้งสิทธิ์แก่ผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพทราบตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่วนใหญ่มักจะประกาศตั้งแต่เดือนมกราคม โดยนิยมแจ้งแก่ประชาชนด้วยตนเอง และช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 59 ปีบริบูรณ์สามารถไปลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพล่วงหน้าได้ และเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในปีถัดไป ก็จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุตั้งแต่เดือนตุลาคมของปีนั้นเป็นต้นไป
2. ผู้สูงอายุจะต้องเตรียมหลักฐานและเอกสารให้พร้อมก่อนลงทะเบียน โดยเอกสารสำคัญประกอบด้วย
1. ผู้สูงอายุลงทะเบียนด้วยตนเอง
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 1 ชุด
- สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 1 ชุด
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝาก (ออมทรัพย์) จำนวน 1 ชุด
2. ผู้สูงอายุมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปดำเนินการแทน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับสิทธิ์ จำนวน 1 ชุด
- สำเนาทะเบียนบ้านผู้รับสิทธิ์ จำนวน 1 ชุด
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากผู้รับสิทธิ์ (ออมทรัพย์) จำนวน 1 ชุด
- หนังสือมอบอำนาจ (ยื่นแบบฟอร์มให้ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ จำนวน 1 ชุด
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ จำนวน 1 ชุด
3. เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ให้มาลงทะเบียนหรือยืนยันสิทธิ์การขอรับเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ตามวัน-เวลา ณ สำนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือตามสถานที่ที่กำหนด (ในวันและเวลาราชการ) โดยให้กรอกแบบฟอร์ม “แบบคำขอลงทะเบียนรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” พร้อมเอกสารแนบที่เตรียมมา ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจุบันหลายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้จัดทำระบบการลงทะเบียนผ่านทางออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วย โดยกำหนดการลงทะเบียนจะเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม - พฤศจิกายน ของปีที่ได้รับแจ้งสิทธิ์ เพื่อรับเบี้ยในเดือนตุลาคมปีงบประมาณถัดไป
4. เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะตรวจสอบเอกสารหลักฐาน พร้อมสัมภาษณ์ รวมถึงบันทึกข้อมูลเพิ่มเติม
5. เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะรวบรวมเอกสารเสนอคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ และเสนอผู้บริหารท้องถิ่นเป็นลำดับต่อไป เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจะบันทึกข้อมูลในระบบสารสนเทศการจัดการฐานข้อมูลเบี้ยยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
6. หลังจากนั้นเมื่อครบอายุ 60 ปีบริบูรณ์ในปีถัดไป ก็จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุตั้งแต่เดือนตุลาคมของปีนั้น ๆ เป็นต้นไป ซึ่งภาครัฐจะโอนเงินผ่านธนาคารที่ผู้สูงอายุแจ้งมาให้ทุกวันที่ 10 ของทุกเดือน แต่หากตรงกับวันวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะได้รับก่อนวันที่ 10 ของเดือนนั้น ๆ
6. อุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
เนื่องจากรายชื่อและจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องรวบรวมอย่างระมัดระวัง เพราะต้องใช้ฐานข้อมูลจากหลายส่วนที่มีความซับซ้อน ทั้งจำนวนประชากรที่อยู่ในพื้นที่จริง อายุที่เข้าเกณฑ์ตามขั้นบันได สถานภาพการมีชีวิต รายได้ สวัสดิการ และเบี้ยอื่นที่ได้รับ รวมถึงข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ข้อมูลต้องมีความเชื่อมโยง ถูกต้อง ครบถ้วน และอัปเดต ถึงจะระบุรายชื่อและจำนวนเงินหรือเบี้ยยังชีพที่จะได้รับอย่างแม่นยำและถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความผิดพลาดในการแจกจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและจ่ายซ้ำซ้อนได้ ดังเช่นที่เห็นในข่าวบ่อย ๆ ที่มีท้องถิ่นมีการเรียกคืนเบี้ยสูงอายุซ้ำซ้อนบำนาญ รายชื่อผู้สูงอายุตกหล่น เงินที่ได้รับไม่ถูกต้อง เป็นต้น
หนึ่งในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และเห็นผลได้เร็วในยุคดิจิทัลก็คือ การใช้เทคโนโลยีอันชาญฉลาดมาช่วยในการจัดการสวัสดิการทางสังคมที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น เบี้ยผู้พิการ เบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยเด็กแรกเกิด เบี้ยผู้ป่วยโรคต่าง ๆ รวมถึงเงินสนับสนุนและสิ่งของช่วยเหลือจากภัยพิบัติ เป็นต้น
ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่เทศบาลนิยมใช้กันในประเทศไทยก็ได้แก่ แพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง (City Digital Data Platform: CDDP) ด้านสวัสดิการสังคม ซึ่งเป็นเครื่องมือรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และแสดงผลข้อมูลดิจิทัลที่รองรับการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศไทย โดยระบบจะเป็นการบูรณาการเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และ Machine Learning ในการดึงฐานข้อมูล ประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูล และคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำสูง สามารถนำมาใช้ในการจัดสรรและจัดลำดับผู้ที่รับสวัสดิการอย่างครบถ้วนเป็นธรรม ตรวจสอบสิทธิ์ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ได้รับสวัสดิการ แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่สำหรับผู้ที่ครบกำหนดต้องต่ออายุบัตร รวมถึงประมาณการผู้ที่ได้รับสวัสดิการในปีถัดไป นำไปสู่การวางแผนโครงการและนโยบายใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นั่นเอง หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่สนใจนำแพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง ด้านสวัสดิการสังคม มาประยุกต์ใช้ในการจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุสามารถติดต่อได้ที่อีเมล: [email protected] หรือ Line หรือ Facebook
เทคโนโลยีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โลกและพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยแก้อุปสรรคในการบริหารจัดการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุหรือเบี้ยผู้สูงอายุ จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมีบริการและราคาที่หลากหลาย ที่สำคัญช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการและบริการประชาชนได้ด้วย