ทำไม “แพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลน้ำท่วม” ถึงสำคัญต่อการตัดสินใจและบริหารจัดการน้ำท่วม

แม้น้ำท่วมภาคใต้รอบนี้จะรุนแรงและยากต่อการคาดการณ์ แต่ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ไม่ควรทำให้การรับมือเป็นไปอย่างเชื่องช้า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้งหาดใหญ่ที่สงขลา พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง สตูล และนครศรีธรรมราช ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า ในยามคับขัน "การขาดศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำ” คือส่วนหนึ่งของอุปสรรคใหญ่ในการบริหารสถานการณ์น้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลกระจัดกระจาย ข้อมูลระดับน้ำจากหลายแหล่งไม่ตรงกัน ขาดการอัปเดตข้อมูลครัวเรือน ข้อมูลสภาพพื้นที่ ข้อมูลสัตว์เลี้ยง รวมถึงแผนที่กลุ่มเปราะบาง ประกอบกับยังไม่มีศูนย์บัญชาการที่เชื่อมข้อมูลเป็นภาพเดียวกัน จึงไม่สามารถใช้ Single Command ในการสั่งการได้อย่างครบวงจร ส่งผลให้การรับมือต่อเหตุการณ์สำคัญล่าช้า และอาจพลาดโอกาสในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
รวมถึงขาดการสร้างศูนย์บัญชาการ ที่จะนำไปสู่ Single Command ทีในการมองเห็นภาพรวมเดียวกัน และนำไปสู่การสั่งการที่ควบคุมทั้งระบบหรือทั้งกระบวนการได้ในคราวเดียว จนเกิดผลกระทบที่รุนแรงจนพลาดโอกาสในการช่วยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
งานวิจัยของ ณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เรื่อง “รับมือภัยพิบัติ…จัดการวิกฤตภัยธรรมชาติ : จุดอ่อน และข้อเสนอจากการสำรวจแนวทางในต่างประเทศและแนวปฏิบัติที่ดีในประเทศไทย” ชี้ให้เห็นจุดอ่อนสำคัญของระบบจัดการน้ำของไทยที่ทำให้ปัญหาน้ำท่วมเกิดซ้ำซาก ซึ่งได้แก่ โครงสร้างการบริหารจัดการน้ำที่รวมศูนย์ แต่ปฏิบัติงานแยกส่วน, ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีข้อจำกัด ทั้งข้อมูลไม่ทันสมัย ไม่เชื่อมโยงกัน และอุปกรณ์โทรมาตรไม่เพียงพอ รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญการลงทุนด้านความเสี่ยงภัยพิบัติที่ไม่เหมาะสม โดยงบสำหรับระบบติดตาม-เตือนภัยและวิเคราะห์ข้อมูลมีน้อยกว่าความจำเป็น
โดยกรณีของวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ สะท้อนภาพนี้ได้ชัดเจน แม้ “หาดใหญ่โมเดล” ที่ดำเนินมากว่า 10 ปีจะเคยรับมือเหตุการณ์น้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้า 12 ชั่วโมง การคาดการณ์ที่แม่นยำ และความร่วมมือของทีมปฏิบัติการในพื้นที่ แต่ความสำเร็จลดลงเมื่อขาดบุคลากร ทรัพยากร และข้อมูลที่อัปเดต ส่งผลให้แบบจำลองคลาดเคลื่อน และทีมในพื้นที่ไม่มีอำนาจสั่งการโดยตรง
ทางออกจึงต้องเริ่มจากการเพิ่มขีดความสามารถให้หน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลาง พร้อมยกระดับการทำงานแบบบูรณาการด้วยข้อมูลที่ทันสมัย และแก้ปัญหาการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม ด้วยการใช้ผังน้ำ เพื่อดูแลหรือระงับใช้ที่ดินในเขตเสี่ยง เขตรับน้ำ และเขตทางน้ำผ่าน
ดังนั้น “ศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำ” จึงเป็นกลไกหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ภัยพิบัติเปลี่ยนแปลงเร็วและซับซ้อนกว่าสมัยก่อน เพราะจะช่วยให้ทุกหน่วยงานเห็นภาพรวมสถานการณ์ที่แม่นยำ เรียลไทม์ และเห็นเป็นภาพเดียวกัน ทำให้ผู้บริหารรู้ว่าท่วมแค่ไหน สำคัญแค่ไหน และควรเริ่มตรงไหนก่อน มาดูว่าทำไมจึงต้องมีศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วม
1. วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นขึ้นในเวลาจริง
ในวิกฤตน้ำท่วม ข้อมูลจากหลากหลายแหล่งจะเข้ามาพร้อมกัน ทั้งปริมาณฝน, ระดับน้ำ, พื้นที่รับน้ำ, CCTV, IoT, สภาพภูมิประเทศ และข้อมูลจากหน่วยงานอื่น หากไม่มีศูนย์กลางข้อมูล ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บไว้คนละที่ ทำให้เห็นแค่บางมุม และไม่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้ง่าย แต่หากมีแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำ จะทำให้สามารถรวบรวมทุกข้อมูลมาซ้อนทับกันเป็นภาพเดียว ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นท่วม ว่าน้ำท่วมเร็วแค่ไหน ท่วมลึกแค่ไหน กระทบพื้นที่ใดก่อนหลัง และควรเริ่มช่วยตรงไหนก่อน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาเร่งด่วนที่มีผลต่อความปลอดภัยของประชาชนจำนวนมาก
2. ประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ได้แม่นยำ
การประเมินและคาดการณ์น้ำท่วมไม่อาจดูแค่ข้อมูลปัจจุบัน แต่ต้องเชื่อมข้อมูลย้อนหลัง เช่น ปริมาณฝนก่อนหน้า ความชุ่มของดิน พื้นที่รับน้ำ ระบบระบายน้ำ รวมถึงสถานการณ์ต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งเมื่อมีแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูล แหล่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาผสานกันและสร้างเป็นแบบจำลองสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ผู้บริหารประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มแต่ละพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น เช่น อีกกี่ชั่วโมงน้ำจะล้น พื้นที่ใดท่วมก่อน ชุมชนไหนเสี่ยงสูง และเส้นทางใดเหมาะสำหรับอพยพ ทำให้เตรียมทรัพยากรได้ทัน ช่วยลดความสูญเสีย และตอบสนองต่อเหตุเร่งด่วนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
3. ช่วยตัดสินใจในภาวะวิกฤตได้เร็วและแม่นยำขึ้น
ในช่วงวิกฤตน้ำท่วม ทุกนาทีล้วนมีผลต่อชีวิตคนจำนวนมาก ยิ่งสถานการณ์น้ำเปลี่ยนเร็ว และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอาจรออยู่ ทั้งน้ำหลากเฉียบพลัน พนังกั้นน้ำแตก หรือชุมชนที่ยังรอความช่วยเหลือ การที่ผู้บริหารจะต้องรอรายงานข้อมูลเหล่านี้จากภาคส่วนต่าง ๆ ยิ่งทำให้การวางแผนและการสั่งการเป็นไปด้วยความล่าช้า และอาจพลาดโอกาสช่วยชีวิตได้
แพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลกลางจะช่วยลดขั้นตอนเหล่านี้ ด้วยการที่ผู้บริหารจะสามารถเห็นภาพรวมทั้งหมดแบบเรียลไทม์ในจอเดียว พร้อมใช้ข้อมูลและแบบจำลองประกอบการตัดสินใจได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น จะปล่อยน้ำตรงจุดใด, จะสั่งอพยพเมื่อไร, เส้นทางไหนปลอดภัยที่สุด, จุดใดต้องส่งทีมลงพื้นที่ก่อน และพื้นที่ไหนต้องแจ้งเตือนประชาชนให้ยกของขึ้นที่สูงด่วน เป็นต้น
4. ลดความสับสนของข้อมูล และทุกหน่วยงานเห็นสถานการณ์เดียวกัน สั่งการง่ายขึ้น
ในสถานการณ์น้ำท่วม ข้อมูลที่มาจากทุกทิศจนแยกแยะได้ยากว่าข้อมูลไหนคือข้อมูลจริง จึงต้องเสียเวลาในการต้องตรวจสอบซ้ำ ส่งผลให้แผนปฏิบัติการช้าลง อีกทั้งผู้บริหารยังต้องสั่งงานหลายหน่วยพร้อมกัน หากแต่ละหน่วยถือข้อมูลคนละชุด ก็อาจเกิดความคลาดเคลื่อนจนนำไปสู่การช่วยเหลือที่ผิดจุด หรือการตัดสินใจที่ช้าเกินไป จนเกิดความสูญเสียได้
แพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วม จะทำให้ทุกหน่วยงานเห็นสถานการณ์เดียวกัน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ช่วยให้การประสานงานเป็นไปในทิศทางเดียว ลดความเข้าใจผิด และทำให้คำสั่งตอบสนองได้รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
5. ลดภาระการรายงาน ทำให้ทีมปฏิบัติการทำงานได้เต็มที่
ในสถานการณ์น้ำท่วม เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติการเร่งด่วนมากมาย แต่หลายครั้งต้องแบ่งเวลามาถ่ายรูปและส่งข้อมูลเพื่อรายงานส่วนกลาง ซึ่งทำให้เสียเวลาในการช่วยเหลือประชาชน แพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมนี้ จะช่วยลดภาระได้ เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลอัตโนมัติจาก เซนเซอร์ IoT, CCTV, ระบบวัดระดับน้ำ รวมถึงข้อมูลที่ประชาชนแจ้งเข้ามา ทำให้ส่วนกลางมีข้อมูลครบถ้วนแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องรอเอกสารจากพื้นที่ ขณะที่ผู้บริหารก็ได้รับข้อมูลที่แม่นยำและทันเหตุการณ์เพื่อใช้สั่งการได้ทันที
6. สร้างการตื่นตัวและลดข้อโต้แย้งกับประชาชน
เมื่อเกิดน้ำท่วม ประชาชนมักมีคำถามมากมาย เช่น น้ำจะมาเมื่อไหร่ จะท่วมซ้ำหรือไม่ ระบายน้ำไปถึงไหนแล้ว จุดไหนปลอดภัย และควรอพยพเมื่อไร ซึ่งท้องถิ่นอาจตอบได้ไม่ทันทุกคำถาม แต่หากมีแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลน้ำท่วม ที่สามารถดึงข้อมูลเรียลไทม์และการคาดการณ์มาเผยแพร่ได้ ก็จะช่วยให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ เตรียมตัว และติดตามแจ้งเตือนได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังลดความเข้าใจผิดและข่าวลวง
ตัวอย่างเช่น เทศบาลนครยะลา ที่ร่วมมือกับเบดร็อค อนาไลติกส์ พัฒนาระบบติดตามปริมาณน้ำแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ครอบคลุมระดับน้ำ & ปริมาณน้ำฝน และกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อช่วยให้ประชาชนเช็กข้อมูลเองได้ทุกเวลา ลดความกังวลและเพิ่มความเชื่อมั่นในมาตรการของท้องถิ่น

7. วางแผนในอนาคต
หลังน้ำลด การถอดบทเรียนคือขั้นตอนสำคัญในการเตรียมพร้อมปีต่อไป แต่หากข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือกระจัดกระจาย ก็ยากที่จะสรุปได้ว่า พื้นที่ใดท่วมหนักที่สุด น้ำมาจากทิศใด มีคอขวดตรงไหน โครงสร้างพื้นฐานต้องปรับปรุงจุดใด หรือขั้นตอนอพยพมีปัญหาอะไรบ้าง ด้วยความสามารถของแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วม ที่บันทึกทุกเหตุการณ์แบบอัตโนมัติ จึงทำให้ท้องถิ่นสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์น้ำท่วมย้อนหลังได้อย่างเป็นระบบ และใช้ข้อมูลจริงในการวางแผนลดความเสี่ยงในปีถัดไป แทนการแก้ปัญหาเฉพาะในแต่ละปี
ระบบบริหารจัดการอุทกภัยแบบครบวงจร เทศบาลนครยะลา
หนึ่งในแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูลการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมที่มีการใช้งานจริงในวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ ก็คือ “ระบบบริหารจัดการอุทกภัยแบบครบวงจร เทศบาลนครยะลา” ซึ่งเป็นการร่วมมือกันพัฒนาระหว่างเทศบาลนครยะลา และ เบดร็อค อนาไลติกส์ โดยเป็นระบบบริหารจัดการภัยพิบัติอัจฉริยะแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การบริหารจัดการข้อมูล ไปจนถึงการแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้ทันเวลา

โดยมีการติดตั้งโทรมาตรวัดระดับน้ำและปริมาณฝนบริเวณต้นน้ำและแหล่งน้ำสำคัญ เพื่อส่งข้อมูลเข้าสู่ แพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง (CDDP) ในการรวบรวมข้อมูลและประมวลผลด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ช่วยให้คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงและเวลาน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ ระบบยังสามารถติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ และแจ้งเตือนอัตโนมัติ เมื่อระดับน้ำถึงค่าที่กำหนด เพื่อใช้เตือนภัยล่วงหน้าให้กับชุมชนและประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ อีกทั้งระบบยังมีการแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่าน LINE Official Account พร้อมข้อมูลระดับน้ำและปริมาณฝนสะสมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมตัวรับมือได้ทัน
อีกทั้งยังบูรณาการข้อมูลครัวเรือน ข้อมูลสภาพพื้นที่ ข้อมูลสัตว์เลี้ยง และแผนที่กลุ่มเปราะบาง เพื่อสร้างศูนย์บัญชาการที่มองเห็นภาพรวมเดียวกัน เพื่อนำไปสู่ Single Command ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเทศบาลให้สามารถวางแผนการรับมือ พื้นที่อพยพ จัดลำดับการช่วยเหลือ สนับสนุนการปฏิบัติการ และสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีระบบและรวดเร็วในภาวะวิกฤต ไม่เพียงเท่านั้นยังนำโดรนมาบินสำรวจสแกนพื้นที่ พร้อมส่งอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
หากต้องการปรึกษาเรื่องการพัฒนาระบบบริหารจัดการอุทกภัยแบบครบวงจรที่เหมาะกับท้องถิ่นของคุณสามารถติดต่อได้ที่อีเมล: [email protected] หรือ Line หรือ Facebook
ขอบคุณข้อมูล: