10 เมืองต้นแบบที่ได้รับการจัดอันดับว่ายั่งยืนที่สุดในโลกปี 2024

จากปัญหามลพิษและสภาพอากาศที่แปรปรวน หลายเมืองทั่วโลกต่างเร่งหาทางสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เติบโตไปพร้อมกับโลกที่ยั่งยืน หรือที่เราเรียกกันว่า “เมืองยั่งยืน” (Sustainable Cities) เมืองที่มีสภาพแวดล้อมดี สังคมเข้มแข็ง สะดวก สะอาด และปลอดภัย
Arcadis บริษัทที่ปรึกษาและวิศวกรรมระดับโลก ได้จัดอันดับ 100 เมืองที่ยั่งยืนที่สุดในโลก ประจำปี 2024 โดยพิจารณาจาก 67 ตัวชี้วัด ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม เช่น การจัดการมลพิษ การลงทุนในพลังงานสะอาด การบริหารโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำ ความเท่าเทียมของประชาชน และความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ มาดูกันว่า 10 เมืองต้นแบบที่ได้รับการจัดอันดับว่ายั่งยืนที่สุดในโลก มีเมืองใดบ้าง และแต่ละเมืองมีแนวทางอย่างไรในการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่และยั่งยืน
1. เมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam)
อัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Arcadis ด้วยแนวทางการพัฒนาเมืองที่ให้ความสำคัญทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเมืองนี้ตั้งเป้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ (Climate-Neutral) ภายในปี 2050 ปัจจุบันสามารถการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 1990 พร้อมทั้งเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง
ในด้านเศรษฐกิจ อัมสเตอร์ดัมใช้แนวคิด “เศรษฐกิจโดนัท” (Doughnut Economics) เป็นกรอบการพัฒนาเมือง ที่เน้นสร้างสมดุลระหว่างความเป็นธรรมทางสังคมกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การเติบโตของเมืองตอบโจทย์ทั้งคุณภาพชีวิตของคน และความยั่งยืนของโลกไปพร้อมกัน

2. เมืองรอตเตอร์ดัม (Rotterdam)
รอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีความยั่งยืนเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพอากาศของเมืองให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม เมืองยังต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงพัฒนาพลังงานหมุนเวียน และระบบขนส่งที่ยั่งยืน เพื่อให้เมืองเติบโตควบคู่ไปกับความยั่งยืนอย่างแท้จริง
3. เมืองโคเปนเฮเกน (Copenhagen)
โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก หนึ่งในตัวอย่างของเมืองที่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากสามารถปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างต่อเนื่อง อีกจุดเด่นของเมืองนี้ คือเรื่องของการส่งเสริมการเดินทางที่ยั่งยืน โดยเน้นการใช้จักรยานเป็นหลักในระบบคมนาคม จึงออกแบบเมืองให้เอื้อต่อการปั่นจักรยานอย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย
สำหรับความท้าทายสำคัญของโคเปนเฮเกน ก็คือการรักษาความสำเร็จให้ยั่งยืน ด้วยการเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและระบบไฟฟ้าขนาดเล็ก (Microgrids)

4. เมืองแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt)
แฟรงก์เฟิร์ต เมืองศูนย์กลางทางการเงินระดับนานาชาติของเยอรมนี เป็นเมืองที่มีระบบเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่แข็งแกร่ง จุดเด่นที่ทำให้เมืองนี้ได้รับการจัดอันดับเมืองที่มีความยั่งยืนอันดับที่ 4 ของโลก คือการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐานสูง และการจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะก้าวสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Neutrality) ภายในปี 2045
สำหรับความท้าทายของเมืองนี้ ก็คือการเสริมสร้างการเข้าถึงทางสังคมและรักษาความต่อเนื่องในการพัฒนาพลังงานสีเขียว
5. เมืองมิวนิก (Munich)
มิวนิก อีกหนึ่งเมืองสำคัญของเยอรมนี ที่ติดอันดับ 5 เมืองที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก ด้วยรากฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะนโยบายการบริหารจัดการน้ำและระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งเมืองยังตั้งเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Neutrality) ภายในปี 2045 เช่นเดียวกับแฟรงก์เฟิร์ต
ในด้านเศรษฐกิจ มิวนิกมีระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงและหลากหลาย เชื่อมโยงกับนวัตกรรม อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี แต่ยังคงต้องพัฒนามิติทางสังคมให้สมดุลมากขึ้น ทั้งด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและการยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อให้การเติบโตของเมืองยั่งยืนครบทุกมิติ

6. เมืองออสโล (Oslo)
ออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ หนึ่งในตัวอย่างของเมืองที่ผสานความเจริญเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว เมืองนี้มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ และได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองหลวงแห่งยานยนต์ไฟฟ้าของโลก” ออสโลตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ให้ได้ภายในปี 2030 โดยมีนโยบายเด่นในการส่งเสริมการเดินทางที่ยั่งยืนและคุณภาพอากาศที่ดีเยี่ยม
สำหรับ ความท้าทายที่เมืองออสโลกำลังเผชิญก็คือค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจกระทบต่อความเท่าเทียมและการอยู่ร่วมกันทางสังคม (Social Inclusion) ได้
7. เมืองฮัมบูร์ก (Hamburg)
ฮัมบูร์ก เมืองท่าขนาดใหญ่ของเยอรมนี อีกหนึ่งเมืองต้นแบบด้านการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เมืองนี้มีระบบจัดการน้ำขั้นสูง พร้อมกับระบบจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ฮัมบูร์กยังมีจุดแข็งในด้านบริการสาธารณะ และการสร้างสมดุลระหว่างการศึกษาที่มีคุณภาพ การดูแลสุขภาพที่ดี และระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุม

8. เมืองเบอร์ลิน (Berlin)
เบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี ที่ติดหนึ่งใน 10 เมืองที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก ด้วยการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็งและเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2045 จุดเด่นสำคัญของเมืองนี้ในการสร้างความยั่งยืนให้เมืองก็คือ แผนการสร้าง “เขตปลอดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” เพื่อส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดมลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน
ในด้านเศรษฐกิจ เบอร์ลินถือเป็นศูนย์กลางของการเมือง วัฒนธรรม และนวัตกรรมของยุโรป แต่สิ่งที่เมืองยังต้องเร่งพัฒนาคือ การสร้างพลวัต (Dynamism) แห่งการเปลี่ยนแปลงให้เทียบเท่ากับเมืองหลวงของประเทศอื่น ๆ
9. เมืองวอร์ซอ (Warsaw)
วอร์ซอ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ ที่อาจไม่ได้มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อมเทียบเท่าเมืองใหญ่อื่นใน 10 อันดับแรก แต่กลับมีความก้าวกระโดดในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ทั้งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การขยายโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยั่งยืน
สำหรับสิ่งที่ทำให้วอร์ซอติดอันดับ 9 มาจากปัจจัยด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งการเข้าถึงการศึกษา การดูแลสุขภาพที่ดี ระบบขนส่งสาธารณะที่แข็งแกร่ง และการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการพัฒนาเมืองอย่างรอบด้านและยั่งยืนในระยะยาว

10. เมืองลอนดอน (London)
ลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร มีจุดเด่นจากการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะที่ยั่งยืน ไปจนถึงการวางกลยุทธ์รับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและคลื่นความร้อน
ในด้านเศรษฐกิจ ลอนดอนยังคงเป็นเมืองเศรษฐกิจระดับโลกที่มีศักยภาพสูง เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจและความหลากหลายทางอุตสาหกรรม แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมืองนี้ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างค่าครองชีพที่พุ่งสูงและการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ยากขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ในการรักษาความสมดุลระหว่างเมืองที่เติบโตกับเมืองที่อยู่ได้อย่างยั่งยืน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่กำลังมองหาแนวทางพัฒนาเมืองยั่งยืนอยู่ 10 เมืองที่มีความยั่งยืนที่สุดในโลกประจำปี 2024 จากการจัดอันดับของ Arcadis คงจะแสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่การมีส่วนร่วมของประชาชน การศึกษา ระบบคมนาคม และการดูแลสุขภาพก็สำคัญในการสร้างเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนไม่แพ้กันนะครับ
ขอบคุณข้อมูล:
https://www.arcadis.com/en/insights/perspectives/global/sustainable-cities-index-2024