8 ไอเดียใช้ข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ เปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดให้ตรงเป้าและได้ผลจริง

การวางแผนกลยุทธ์การตลาดในปัจจุบัน ไม่เพียงรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายเราคือใคร แต่ต้องรู้ด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่ “ข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์” จึงกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้นักการตลาดและผู้บริหารวางกลยุทธ์ได้แม่นยำและตรงจุดมากขึ้น แต่จะนำข้อมูลตำแหน่งเรียลไทม์มาใช้อย่างไรให้วางแผนและดำเนินกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพ เบดร็อค อนาไลติกส์มี 8 ไอเดียมาแชร์
1. Geofencing กำหนดขอบเขตเสมือนจริง เพื่อเข้าถึงลูกค้าในเวลาเหมาะสม
Geofencing คือการนำข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์มากำหนดขอบเขตหรือพื้นที่เสมือนจริงบนแผนที่ดิจิทัล แล้วทำการส่งสารทางการตลาดไปยังอุปกรณ์ของผู้บริโภค เช่น เมื่อใครก็ตามที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด ระบบสามารถส่งข้อความ โปรโมชัน หรือโฆษณาไปยังอุปกรณ์ของเขาทันที ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับร้านค้าปลีก ศูนย์การค้า หรือแบรนด์ที่มีสาขาหลายจุด
ข้อดีของ Geofencing คือความแม่นยำของสถานที่และเวลา ในด้านการส่งสารทางการตลาดในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะสนใจและตัดสินใจได้มากที่สุด แต่ข้อต้องระวังก็คือต้องกำหนดขอบเขตพื้นที่อย่างชัดเจน กำหนดเวลาที่ต้องการส่ง และคำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารธรรมชาติและออร์แกนิกชื่อดัง Whole Foods Market ใช้ Geofencing เพื่อยิงโฆษณาไปยังผู้คนที่อยู่ใกล้ร้านค้าคู่แข่ง ส่งผลให้โฆษณาของแบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึง 3 เท่า
2. Proximity Marketing เข้าถึงลูกค้าใกล้ตัวแบบเรียลไทม์
Proximity คือการตลาดเชิงพื้นที่ที่ใช้ข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในระยะใกล้กับร้านค้า สาขา หรือพื้นที่บริการ แล้วส่งข้อเสนอ โปรโมชัน หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ไปยังกลุ่มนั้นทันที ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือสาขา
ข้อดีของ Proximity คือสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องโฆษณาไปแบบกว้าง ๆ แต่ข้อต้องระวังก็คือต้องกำหนดรัศมีของพื้นที่ให้ชัดเจน โดยปกติจะอยู่ที่ 100–300 เมตร อีกทั้งควรส่งข้อมูลเฉพาะในช่วงเวลาที่มีแนวโน้มซื้อสูง เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนลูกค้าเกินจำเป็น และประหยัดค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกรายใหญ่แห่งหนึ่งใช้ Proximity Marketing เพื่อส่งข้อเสนอสุดพิเศษให้ลูกค้าที่อยู่ในระยะ 100 เมตรจากร้าน ผลลัพธ์คือมีจำนวนผู้เข้าร้านเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับการตลาดแบบเดิมที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลตำแหน่งเรียลไทม์
3. Location-based Personalized Offers ข้อเสนอแบบรู้ใจ ด้วยข้อมูลเรียลไทม์
Location-based personalized offers คือการส่งข้อเสนอหรือโปรโมชันที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อของแต่ละบุคคล โดยนำข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์มาผนวกกับข้อมูลความต้องการของลูกค้า เช่น ประวัติการสั่งซื้อ ความชอบ หรือช่วงเวลาที่มักใช้งาน เพื่อให้ข้อเสนอเหมาะกับลูกค้าแต่ละคนมากที่สุด
ข้อดีของ Location-based Personalized Offers คือทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจและตรงใจกับที่ต้องการ จึงเพิ่มโอกาสในการซื้อแบบทันที อีกทั้งยังสร้างความประทับใจและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว (Brand Loyalty) แต่ต้องระวังและคำนึงถึงข้อมูลความเป็นส่วนตัวของลูกค้าด้วย
ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารส่งเมนูพิเศษแบบปรุงด่วนให้เฉพาะพนักงานออฟฟิศที่อยู่ในรัศมี 200 เมตร ในช่วงเวลาพักกลางวัน หรือร้านค้าปลีกเสนอโปรโมชันเฉพาะสินค้าให้กับลูกค้าเคยซื้อในอดีตทันทีที่ลูกค้าเดินเข้าสาขา
4. ข้อมูลตำแหน่งเชิงลึก ออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดแม่นยำ
ข้อมูลตำแหน่งเชิงลึก สามารถนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การเดินทาง และแนวโน้มการใช้พื้นที่ เพื่อประยุกต์ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและการดำเนินธุรกิจอย่างแม่นยำ เช่น การวิเคราะห์พื้นที่การค้า เพื่อระบุว่าลูกค้ามาจากที่ใด, ข้อมูลส่วนแบ่งการเยี่ยมชม เพื่อค้นหาคู่แข่งขันในพื้นที่, ข้อมูลแนวโน้มการสัญจรของคนเดินเท้า เพื่อเลือกทำเลที่ตั้งร้านที่เหมาะสมที่สุด เป็นต้น
ข้อดีของแนวทางนี้ก็คือช่วยให้วางแผนการตลาดเชิงรุกอย่างแม่นยำ ด้วยการใช้ข้อมูลสนับสนุน ทั้งที่มาของลูกค้า เวลาที่ควรเปิด-ปิด หรือช่วงเวลาควรเสริมกำลังคนขาย อีกทั้งยังวิเคราะห์คู่แข่งในพื้นที่ได้ แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้ควรจะมีความน่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น ร้านค้าใจกลางเมืองมักมีลูกค้าเดินผ่านมากที่สุดในช่วงพักกลางวัน ขณะที่ร้านค้าเขตชานเมืองจะคึกคักในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้ร้านค้าสามารถนำไปปรับตารางพนักงานและระดับสินค้าคงคลังให้ตรงกับความต้องการได้
5. ข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ รู้ลึกถึงพฤติกรรมของลูกค้า
การใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่ใช้ ความถี่ในการเยี่ยมชม สาขาที่มีการเยี่ยมชมสูง ช่วงเวลาที่มีการเข้าชม หรือสถานที่ที่ลูกค้าใช้เวลาอยู่นานที่สุด จึงเหมาะกับกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการ และแบรนด์ที่มีหลายสาขา
ข้อดีของแนวทางนี้ก็คือช่วยให้ธุรกิจออกแบบประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด และสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้ดีขึ้น ตั้งแต่การกำหนดโปรโมชันเฉพาะพื้นที่ การจัดวางสินค้าหรือร้านค้า ไปจนถึงการวางแผนเปิด-ปิดสาขาใหม่ แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือการจัดเก็บและใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องดำเนินการตามหลักความปลอดภัยและกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
6. ข้อมูลสถานที่ตั้ง ช่วยแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชาญฉลาด
การใช้ข้อมูลสถานที่ตั้งในการแบ่งกลุ่มลูกค้า เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความแตกต่างของพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้ เพื่อใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยข้อมูลที่นำมาใช้ก็อย่างเช่น
- ระยะเวลาที่ใช้ในสถานที่หนึ่ง เพื่อระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีส่วนร่วมสูง (engagement)
- ความถี่ในการเยี่ยมชม เพื่อวิเคราะห์โอกาสการกลับมาใช้บริการ
- เส้นทางการเดินทางและจุดหมายปลายทาง เพื่อเลือกทำเลใหม่หรือปรับบริการให้เข้ากับพฤติกรรมจริงของผู้บริโภค
7. ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์ ยกระดับงานด้านโลจิสติกส์
ในด้านโลจิสติกส์ การใช้ข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ช่วยปรับกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ ทั้งเพิ่มความเร็วในการจัดส่ง ลดต้นทุน และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ข้อมูลจาก McKinsey ชี้ว่าการใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์สามารถลดต้นทุนได้ถึง 15% และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ 10%
สำหรับข้อดีของแนวทางนี้จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์เส้นทางที่สั้นและประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุด ปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาด ยิ่งเมื่อบูรณาการข้อมูลสภาพอากาศ จะสามารถคาดการณ์ความล่าช้าและแจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าได้
ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ Domino's Pizza มีระบบการติดตามการดำเนินงานและการจัดส่งแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับปรุงเวลาการจัดส่ง ลดการรอคิว และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้
8. บูรณาการข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ สร้างกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องและไร้รอยต่อ
การนำข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์มาทำงานร่วมกับข้อมูลเชิงลึกจากหลายช่องทาง จะสร้างกลยุทธ์การตลาดและออกแบบประสบการณ์ลูกค้าที่สอดคล้องและไร้รอยต่อ ตั้งแต่หน้าร้านจนถึงออนไลน์
ข้อดีของแนวทางนี้ก็คือสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบครบทุกมิติ เพื่อส่งสารทางการตลาดได้ตรงเวลาและตรงสถานที่ที่ลูกค้าอยู่จริง แต่สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือควรมีแพลตฟอร์มที่รวมศูนย์กลางข้อมูล เพื่อทำให้การวิเคราะห์และการใช้ข้อมูลตำแหน่งเรียลไทม์ง่ายขึ้น
ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ Starbucks ใช้ข้อมูลตำแหน่งจากมือถือของลูกค้า ร่วมกับข้อมูลด้านพฤติกรรมจากอีเมลและโซเชียลมีเดีย เพื่อส่งข้อความส่งเสริมการขายไปยังทุกช่องทางที่ลูกค้า ส่งผลให้จำนวนผู้เข้าชมร้านเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
จะเห็นได้ว่า “ข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์” คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดให้แม่นยำ ตอบโจทย์ และสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากองค์กรของคุณต้องการวางระบบข้อมูลตำแหน่ง เพื่อใช้วิเคราะห์และต่อยอดด้านการตลาด สามารถขอคำปรึกษาเบื้องต้นได้ฟรีกับทีมผู้เชี่ยวชาญของ เบดร็อค อนาไลติกส์ ติดต่อได้ที่อีเมล: [email protected] หรือ LINE หรือ Facebook