5 กระบวนการคุณภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพในเมืองอัจฉริยะ

หนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความสุขที่ยั่งยืนให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอัจฉริยะก็คือการบริหารจัดการในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงอาศัยกระบวนการของระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานเท่านั้น แต่ยังต้องมีเทคโนโลยีที่เป็นองค์ประกอบทางดิจิทัลที่เหมาะสมด้วย มาดูกันว่ากระบวนการของระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานและเทคโนโลยีที่เป็นองค์ประกอบทางดิจิทัลที่เหมาะสมมีอะไรบ้าง
องค์ประกอบทางดิจิทัลที่ทำให้ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินมีประสิทธิภาพ
กระบวนการของระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน (EMERGENCY SYSTEM) ที่มีประสิทธิภาพในเมืองอัจฉริยะจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดองค์ประกอบทางดิจิทัลที่สำคัญใน 5 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
1. IoT Sensor อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจจับและวัดค่าต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น คุณภาพอากาศ ระดับน้ำ ความเคลื่อนไหว เป็นต้น เพื่อตรวจจับความผิดปกติ เก็บข้อมูล และรวบรวมข้อมูลได้แบบเรียลไทม์
2. AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับว่ามีความผิดปกติหรือเสี่ยงต่อสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่
3. แพลตฟอร์มที่จะสามารถถ่ายทอดหรือสื่อสารแบบทั่วถึงและเรียลไทม์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงสถานการณ์ที่แม่นยำ นำไปสู่การวางแผน การตัดสินใจ และการแก้ไขที่รวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ
4. แพลตฟอร์ม ระบบ หรือเครื่องมือที่จะสามารถสื่อสารไปยังประชาชนได้อย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้
5. ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่จะเข้าไปทำหน้าที่สำรวจหรือแก้ปัญหาในพื้นที่ที่อันตรายและยากต่อการเข้าถึง ณ เวลานั้น ๆ เช่น โดรนสำรวจ หุ่นยนต์ปฏิบัติการ เป็นต้น
กระบวนการของระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ
โดยปกติกระบวนการของระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินที่สามารถแก้ปัญหาหรือให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด เพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบจากสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะมีขั้นตอนคร่าว ๆ ในการดำเนินงาน ดังนี้
1. รวบรวมข้อมูลว่าเกิดอะไรและอยู่ที่ใด
ขั้นตอนแรกเป็นขั้นตอนในการรวบรวมและคัดกรองข้อมูลว่าเกิดอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยเมื่อได้รับแจ้งจากประชาชนหรือพบสิ่งผิดปกติจากการตรวจจับของอุปกรณ์ IoT Sensor เจ้าหน้าที่ที่ควรได้รับการฝึกฝนการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินจะต้องบันทึกสถานที่และเหตุการณ์อย่างละเอียดและแม่นยำ โดยเฉพาะการได้ข้อมูลจากตัวบุคคลจะต้องสอบถามหรือโต้ตอบจนได้คำตอบที่แน่ชัด ทั้งพิกัดที่เกิดเหตุและเหตุการณ์ เพื่อประเมินสถานการณ์ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเจอก็คือมักไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด ส่งผลให้การเข้าแก้ไขทำได้ล่าช้า ดังนั้น จึงควรนำเทคโนโลยีในการระบุพิกัดมาช่วยเติมเต็มช่องว่างในส่วนนี้ เช่นในประเทศเนเธอร์แลนด์มีการติดตั้งระบบตรวจสอบน้ำแบบครบวงจร ทั้งการออกแบบเขื่อนกั้นน้ำอัตโนมัติ และติดตั้ง IoT Sensor วัดระดับน้ำในจุดที่เหมาะสม เพื่อช่วยแจ้งเตือน รวบรวมข้อมูล และป้องกันน้ำท่วม หรืออย่าง Bellme ระบบแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ที่สามารถแจ้งได้ง่าย ระบุพิกัดได้ชัดเจน พร้อมมีระบบส่งต่อเรื่องไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบได้แบบอัตโนมัติ
2. ขจัดความซ้ำซ้อนของสถานการณ์ฉุกเฉิน
หลายครั้งในหนึ่งสถานการณ์ฉุกเฉิน มักมีผู้แจ้งเรื่องเข้ามาพร้อมกันหรือซ้อนกัน จึงทำให้เกิดปัญหาในการติดต่อเจ้าหน้าที่และเกิดความสับสนของข้อมูลที่หลากหลายทิศทาง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ควรจัดเตรียมช่องทางการรับเรื่องที่หลากหลายและครอบคลุม เพื่อให้ผู้ที่ได้ความเดือดร้อนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้อย่างสะดวกและไม่ต้องรอนาน ที่สำคัญต้องคัดกรองและประมวลผลข้อมูลจากที่ได้รับมาทุกช่องทางให้แน่ชัดว่าเกิดอะไร ที่ไหน และเวลาเท่าใดบ้าง ในส่วนนี้อาจนำกล้องโทรทัศน์วงจรปิด CCTV มาช่วยดูสถานการณ์ฉุกเฉิน ก่อนจะส่งต่อเรื่องไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบ
3. ส่งเรื่องไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบ
เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นแล้วว่าเกิดอะไรและอยู่ที่ใด เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องจะต้องแจกจ่ายไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบในเรื่องนั้น ๆ พร้อมแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้มากที่สุด เพื่อให้เข้าแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ในกรณีที่ไม่มีผู้รับผิดชอบที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากพอ อาจมีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางไกลอย่าง Video Call ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการแก้ปัญหา นอกจากนี้หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติที่จะต้องให้ความช่วยเหลือพร้อมกันหลายที่จะต้องเรียงลำดับความสำคัญในการช่วยเหลือ ซึ่งในปัจจุบันมีระบบอัตโนมัติต่าง ๆ มาช่วยเรียงลำดับความสำคัญในการช่วยเหลือ เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่น ระบบภัยพิบัติ ในแพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมือง
4. แจ้งเตือนประชาชน
เมื่อส่งต่อเรื่องไปยังส่วนงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว ควรมีระบบในการแจ้งเตือนประชาชนให้ได้ทราบถึงสถานการณ์ พร้อมแนวทางในการปฏิบัติตัวต่อสถานการณ์นั้นในทุกช่องทางทั้งเสียงตามสาย เว็บไซต์ท้องถิ่น โทรทัศน์ท้องถิ่น เฟซบุ๊ก ไลน์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น เพื่อกระจายการแจ้งเตือนให้ทั่วถึง น่าเชื่อถือ และรวดเร็วที่สุด เช่น ขณะนี้เกิดเพลิงไหม้ที่ใด เวลาใด ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางอย่างไร หรือคนที่อยู่ในพื้นที่ใดบ้างควรอพยพ ควรติดตามข่าว หรือรอประกาศ เป็นต้น
5. เจ้าหน้าที่และเทคโนโลยีอัจฉริยะปฏิบัติการเข้าแก้ไขสถานการณ์
เมื่อเจ้าหน้าที่ส่วนงานที่รับผิดชอบทราบข้อมูลแล้วจะต้องเข้าแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็วที่สุด ดังนั้นก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเหล่านี้ เจ้าหน้าที่จะต้องมีการวางแผน เตรียมพร้อมอุปกรณ์ และฝึกซ้อมต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในรูปแบบต่าง ๆ ไว้ก่อนหน้าแล้ว เมื่อเกิดเหตุขึ้นจริงจะได้ตัดสินใจเลือกแผนและเข้าปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ที่อันตรายต่อเจ้าหน้าที่และผู้ประสบภัยอาจนำระบบอัตโนมัติเข้าช่วยเหลือ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มความรวดเร็วในการแก้ไข เช่น ใช้โดรนเข้าสำรวจพื้นที่เพลิงไหม้ เพื่อดูทิศทางของไฟ ความแข็งแรงของโครงสร้าง พิกัดของผู้ประสบภัย, การใช้โดรนส่งเสบียงให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ถนนถูกตัดขาด เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น Rega หน่วยงานกู้ภัยแห่งชาติ (The National Rescue Agency Rega) ในสวิตเซอร์แลนด์ มีการใช้โดรนที่ติดตั้งระบบกล้องตรวจจับอุณหภูมิและความร้อน (Thermal Camera) พร้อมด้วย IoT Sensor และ AI ในการวิเคราะห์ภาพ เพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุในพื้นที่ภูเขาอย่างเทือกเขาแอลป์ได้ หรืออย่างหน่วยดับเพลิงในกรุงลอนดอนของประเทศอังกฤษมีการติดตั้งอุปกรณ์ IoT Sensor ที่หัวดับเพลิงและท่อ เพื่อตรวจสอบและเตรียมพร้อมอยู่เสมอว่าหากเกิดไฟไหม้จะมีน้ำหรือมีสารดับเพลิงเพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ทันที
ทุกการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำคือจุดเริ่มต้นสำคัญอันจะนำไปสู่การวางแผน การตัดสินใจ และการดำเนินการ ยิ่งในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีราคาถูกลงและมีความหลากหลายมากขึ้น การเลือกมาใช้อย่างเหมาะสมจะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างดี
แล้ววันนี้...องค์กรของคุณ เมืองของคุณเริ่มวางระบบโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างเมืองปลอดภัย ง่ายต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับเมืองอัจฉริยะของคุณแล้วหรือยัง
ขอบคุณข้อมูล:
https://www.tomorrow.city/this-is-how-emergency-systems-work-in-a-smart-city/
https://www.swissinfo.ch/eng/sci-tech/swiss-drones-to-the-rescue/46184648